Search




ด้านการคมนาคม : รัชกาลที่ 4 ทรงปรับปรุงและขยายเส้นทางคมนาคมทางบกและทางน้ำเพื่อเพิ่มเส้นทางสัญจรในการติดต่อค้าขายได้สะดวกขึ้น
การสร้างถนน มีการสร้างถนนแบบใหม่แทนทางเกวียนแบบเดิม โดยเฉพาะถนนสายหลัก ในกรุงเทพฯ ได้แก่ ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร ถนนสีลม

ตึกแถวถนนเจริญกรุง คือ ที่เห็นเป็นตึกขาวยาวๆ มีหน้าต่างเจาะเป็นแถวบริเวณกลางภาพ
ถนนเจริญกรุงตอนนี้ทำใหม่โดยขยายทางเดิมบ้าง ตัดใหม่บ้างเมื่อ พ.ศ.2405

ทำให้สองฝั่งถนนมีร้านค้า ตึกแถวชั้นเดียว เกิดขึ้นเป็นแหล่งค้าขายของชาวจีน และชาวตะวันตกเพิ่มขึ้น (สมเด็จกรมพระยาดำรง ราชานุภาพ, 2516 : 237) การค้าขายทางบกขยายตัวเกิดเป็นห้างร้านและย่านการค้าที่สำคัญ ราษฎรได้เปลี่ยนแปลงจากความนิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำมาตั้งอยู่บริเวณสองฟากฝั่งถนนกันมากขึ้น เกิดเป็นสังคมใหม่ในชุมชนเมืองในเวลาต่อมา ในส่วนของถนนในหัวเมืองมีการขยายตัวตามหัวเมืองใหญ่หลายแห่ง อาทิ การสร้างถนนจากเมืองสงขลาไปจนถึงเขตแดนไทรบุรีของมาเลเซีย ซึ่งขณะนั้นอังกฤษปกครองอยู่ หมอบรัดเลเสนอแนะให้สร้างถนนระหว่างกรุงเทพฯกับเชียงใหม่  ซึ่งขณะนั้นอยู่ในระบบเจ้าผู้ครองนคร เพื่อให้การสัญจรสะดวกขึ้น ติดต่อค้าขายและเจริญพระราชไมตรีกันได้คล่องตัวขึ้น (บางกอกรีคอเดอร์, 2409 : 254)

การขุดคลอง ในส่วนของทางน้ำ มีการขุดลอกคลองสายเดิมและขุดคลองใหม่เพิ่มเติม  เช่น คลองมหาสวัสดิ์ คลองถนนตรง คลองเจดีย์บูชา คลองภาษีเจริญ คลองดำเนินสะดวก คลองบางลี่ และคลองลัดยี่สาน เพื่อให้สะดวกแก่การสัญจรและการค้าขาย นอกจากนี้ยังมีการสร้างสะพานข้ามคลองเพื่อเชื่อมถนนอีกหลายสาย มีสะพานที่สร้างด้วยไม้ เหล็กและอิฐปูนตามอย่างตะวันตก (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2504 238) อีกทั้งยังมีการใช้เรือกลไฟเพื่อไปค้าขายยังต่างประเทศ เป็นครั้งแรกในสมัยนี้ด้วย (บางกอกรีคอเดอร์, 2409 : 238) นับเป็นความก้าวหน้าในการใช้ยานพาหนะในการค้าขายในขณะนั้นอย่างมาก

คลองขุด ถนน และสะพาน ในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายหลังสนธิสัญญาบาวริง


ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา : แต่เดิมไทยใช้เงินเบี้ย ซึ่งเป็นเปลือกหอย และเงินพดด้วงที่

เรียกว่าเงินบาท เมื่อเปิดประเทศค้าขายแบบเสรี เงินตราของต่างประเทศและทองคำก็ได้เข้ามาในประเทศมากขึ้นทุกปี ทำให้เกิดปัญหาในการค้าขาย คือราษฎรไม่คุ้นกับระบบเงินตรา ไม่ยอมรับเงินตราจากต่างประเทศ รัชกาลที่ 4 จึงทรงดำเนินการเพื่อปรับปรุงระบบเงินตรา โดยทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงคณะฑูตที่ไปเจริญพระราชไมตรีที่อังกฤษในปี 2400 ให้พยายามหาเครื่องจักรทำเงินมาใช้ในประเทศ โดยคณะฑูตได้จัดซื้อตามพระราชประสงค์จากบริษัทเทเลอร์ เมืองเบอร์มิงแฮม เครื่องจักรมาถึงไทยเมื่อปลายปี พ.ศ. 2401 หลังจากนั้นก็ได้มีการผลิตเงินเหรียญชนิดขนาดต่าง ๆ ออกใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2403 เป็นต้นมา มีทั้งเหรียญทองแดง เหรียญดีบุก และเหรียญทองคำ และในปี พ.ศ. 2406  เริ่มมีการพิมพ์กระดาษขึ้นใช้แทนเงินด้วย เรียก หมายและมีเชคเรียก ใบพระราชทานเงินตรา ทรงกำหนดระบบเงินตราของไทยให้ได้มาตรฐาน สะดวกต่อการค้าระหว่างประเทศ ดังนี้

- กำหนดพิกัดอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยกับเงินต่างประเทศ
- ปรับปรุงเงินตราไทยให้ได้มาตรฐานแบบเดียวกับประเทศตะวันตก
- ออกประกาศชี้แจงให้ราษฎรเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับระบบเงินตราสมัยใหม่

เงินพดด้วง ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีตราประจำแผ่นดินเป็นรูปจักร  และตราประจำรัชกาลเป็นรูปพระมหามงกุฎ

เหรียญทองคำ มีขนาดราคาทศ (8 บาท) พิส (4 บาท) พัดดึงส์ (10 สลึง) ออกใช้เมื่อ พ.ศ.2406  เลิกใช้เมื่อ พ.ศ.2451


แนวคิดและวิธีปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเพื่อวางรากฐานในการพัฒนาประเทศ

หากพิจารณาถึงผลที่ตามมา แม้มองว่าการทำสนธิสัญญาบาวริงดังกล่าวทำให้ไทยก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ และพัฒนาชาติรัฐให้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นชาติที่มีศักยภาพในการดำเนินนโยบายกับชาติมหาอำนาจได้อย่างสมบูรณ์ แต่สนธิสัญญาฉบับนี้มีข้อกำหนดที่ไทยเสียเปรียบอยู่หลายประการ อาทิ ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางการศาล  ทำให้ไทยอ่อนด้อยไปในด้านการใช้อธิปไตยบนแผ่นดินในสายตาของคนไทยเองและชาวต่างชาติ จนมีข่าวออกไปว่าไทยเสมือนเสียอำนาจด้านนี้ราวกับอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ ซึ่งไม่ต่างกับประเทศเพื่อนบ้านขณะนั้น รัชกาลที่ 4 ได้มีกระแสราชาธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความว่า (กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, เอกสารรัชกาลที่ 4 เลขที่ 550, ม.ม.ป. : 1)

...ได้ยินว่าเจ้านายขุนนางเป็นอันมากพูดกันคิดกันว่า เพราะวังหลวงวังน่าในแผ่นดินปัจจุบัน แลเสนาบดีผู้ใหญ่บางพวกคบค้าชอบภอกับอังกฤษ เล่าเรียนพูดภาษาและใช้หนังสือกับอังกฤษ อังกฤษจึงลวนลามเข้ามามากมาย วุ่นวายต่าง ๆให้ได้ลำคาญ การเรื่องนี้เหตุนี้ ท่านทั้งปวง เมื่อก่อนนี้ใน 50 ปี เมืองเกาะหมากก็เป็นของเมืองไทย เมื่อเมืองเกาะหมากเป็นของอังกฤษไปทีหลังนั้น เพราะใครคบกับอังกฤษเล่า เมืองสิงคโปร์ แต่ก่อนเป็นของแขกยาโฮ มาเป็นของอังกฤษตั้งท่าค้าขายใหญ่โต เมื่อศักราช 1181 มานั้น ที่กรุงเรียกว่า เมืองใหม่จนถึงทุกวันนี้นั้นเป็นเพราะเจ้านายข้างไทยคนใดไปคบกับอังกฤษเล่า...

จากหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ไทยต้องยอมเปิดประตูทำการค้ากับต่างชาติก็เพื่อความอยู่รอดของชาติ แต่ขณะเดียวกันแม้จะมีความเสียเปรียบก็ยังได้รับประโยชน์ คือได้วางรากฐานพัฒนาคนให้มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษและทำการค้าขายอย่างเป็นระบบสากลมากขึ้น อันจะเอื้ออำนวยผลประโยชน์ให้แก่แผ่นดินโดยรวมได้มากกว่าเป็นส่วนเฉพาะคน ในฐานะผู้นำประเทศ พระองค์ทรงเข้าพระทัยในสภาพการณ์ต่าง ๆ จากประเทศเพื่อนบ้านและผลที่เกิดขึ้นกับประเทศต่าง ๆ รอบด้านอีกทั้งทรงตระหนักในแสนยานุภาพของมหาอำนาจตะวันตกเป็นอย่างดีว่าไทยไม่มีทางเอาชนะได้ แต่ควรโอนอ่อนผ่อนตามและเตรียมการป้องกันด้วยการพัฒนาประเทศ พัฒนาสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจให้เหมาะสมมากขึ้น ทำให้ประเทศเกิดความเสียหายน้อยที่สุด แต่ขณะเดียวกันถือเป็นโอกาสวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้เป็นแบบใหม่ที่เหมาะสมไปด้วยพร้อมกัน ดังความในพระราชดำรัสว่า (เรื่องเดียวกัน : 3)

...ตามสภาพเท่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ประเทศเราล้อมรอบไปด้วยประเทศที่มีกำลังอำนาจ 2 หรือ 3 ด้าน แล้วประเทศเล็ก ๆ อย่างเราจะเป็นประการใด ถ้าหากจะสมมุติเอาว่าเราได้ค้นพบเหมืองทองคำภายในประเทสของเราเข้า จนเราสามารถขุดทองมาได้หลายล้านชั่ง จนเอาไปขายได้เงินมาซื้อเรือรบสักร้อยลำ แม้กระทั่งเราก็ยังไม่สามารถไปสู้รบปรบมือกับพวกนี้ได้ด้วยเหตุผลกลใดเล่า ก็เพราะเรายังจะต้องซื้อเรือรบและอาวุธยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ จากต่างประเทศพวกนั้น เรายังไม่มีกำลังพอจะจัดสร้างสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวของเราเอง แม้ว่าเราพอจะมีเงินซื้อหาได้เขาก็เลิกขายให้กับเรา ในเมื่อเขารู้ว่าเรากำลังติดเขี้ยวติดเล็บจนเกินฐานะ ในภายภาคหน้าเห็นจะมีอาวุธที่สำคัญสำหรับเราอย่างเดียวก็คือ ปากของเราและใจของเราให้เพียบพร้อมไปด้วยเหตุผลและเชาวน์ไหวพริบ ก็พอจะเป็นทางป้องกันตัวเราได้...