Summary |
ส. พลายน้อย กล่าวถึงเรื่อง ตราประจำกรมโหร ที่ปรากฎในกฎหมายตราสามดวง ว่า "ตราทวาทัศราศรี พระโหราธิบดีศรีจันทรการได้ใช้นั้นคือ จะเบิกบ่าวไพร่เข้าใช้ในราชการหลวง
จะเอาคู่ความโจทจำเลยเปนบ่าวไพร่กรมเองก็ดี จะตั้งขุนหมื่นโหราสำหรับหัวเมืองเลก แลแขวงจังหวัด" เมื่อสอบถามโหรหลวงไม่พบใครที่รู้จัก หรือเคยเห็น
หากแต่มีภาพถ่ายตราตำแหน่งพระโหราธิบดี เจ้ากรมโหรหน้า ซึ่งถ่ายเก็บไว้ เป็นรูปเทวดานั่งชันเข่าบนแท่น พระกรซ้ายถือกระดานชนวน พระกรขวาถือพระขรรค์ ไม่มีชื่อตรา
"ได้ตรวจดูในบัญชีโคมตราวิสาขบูชาสมัยรัชกาลที่ 4 ก็บอกแต่ว่า พระโหราธิบดีโคมตราเทพดาถือพระขขรค์, ถือกระดานชนวน ไม่มีชื่อเรียกตราอีกเหมือนกัน ทำให้ไม่ทราบว่าเทพยดาองค์นั้นเป็นใคร..."
โหร ในสมัยโบราณต้องมีความรู้แม่นยำจริงๆ เพราถ้าเลินเล่อ หรือถวายคำพยากรณ์ผิดก็ต้องมีโทษ แต่โทษนั้นไม่หนัก แต่จะให้เกิดความละอายใจ จะได้มีความสนใจเอาใจใส่ในหน้าที่ให้มากยิ่งขึ้น
บทลงโทษนี้ปรากฎกำหนดไว้ในกฎมณเฑียรบาลว่า "อนึ่งโหรพราหมณ์ทายเคราะห์ทายศึกทายฤกษ์ผิด ลงอาชญาลูกประคำใหญ่แขวนคอ"
ส. พลายน้อย ยกตัวอย่างครั้งรัชกาลที่ 4 เสด็จกลับจากทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอแล้ว ได้ตรัสถามพระโหราธิบดี (ชุม) ว่า สูรย์จับมากน้อยสักเท่าใด พระโหรากราบทูลว่า ยังเหลืออยู่ 4-5 นิ้ว รับสั่งว่า ใครขึ้นไปวัดได้
ข้างบนโน้น มีพระบรมราชโองการให้พระยาภูบาลเอาลูกประคำหอยโข่ง สวมคอพระโหรา ให้กินข้าวด้วยกะลา เอากาบหมากเป็นภาชนะใส่กับข้าวอยู่ 8 วันจึงพ้นโทษ อนึ่ง ลูกประคำนอกจากทำด้วยหอยแล้ว ทำด้วยอย่างอื่นก็มีเช่น ลูกประคำไม้ทองหลาง
รองศาสตราจารย์สมใจ นิ่มเล็ก ราชบัณฑิต ได้เขียนบทความเรื่องของกาบหมาก หรือกาบปูเล ว่า "...ภาชนะที่ทำด้วยกาบหมาก เป็นภูมิปัญญาชาวสวนที่ดัดแปลงกาบหมากที่มีอยู่ตามสวนมาทำเป็นภาชนะใช้สอย จะนำกาบหมากมาแช่น้ำเพื่อให้อ่อนนุ่ม
แล้วนำมาเย็บคล้ายเย็บกระทงด้วยใบตอง ยกขอบสูงโดยรอบ มีหลายขนาดแล้วแต่จะใช้ใส่อะไร..."
ที่มา :
ส. พลายน้อย. "ตราเจ้ากรมโหร," ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 28 ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2550 : หน้า 40-41.
สมใจ นิ่มเล็ก. "เรื่องของกาบหมาก หรือกาบปูเล," ปีที่ 28 ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2550 : หน้า 162-169. |