Search
พรรณไม้
- เอื้องศรีอาคเนย์
- Author: nantawan
-
Description: ชื่อสามัญ : เอื้องศรีอาคเนย์
ชื่อวิทยาศาสตร์: Sirindhornia monophylla
วงศ์ : ORCHIDACEAE
ค้นพบ : โดยคณะนักพฤกษศาสตร์ของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เป็นพืชเฉพาะถิ่นพบได้บนดอยเชียงดาว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ กล้วยไม้ดินชนิดนี้มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูง
ลักษณะ : เป็นกล้วยไม้ดินขนาด 10 – 40 ซม. ใบรูปรีแกมขนานปลายใบแหลมมีเส้นใบขนานตามยาว และมีจุดประขนาดใหญ่สีแดงอมม่วง ใต้ใบสีม่วงเข้ม ช่อดอกสูง 10 – 30 ซม. ดอกในช่อแน่น ดอกสีชมพู มีจุดประสีชมพูเข้ม กลีบดอกและกลับเลี้ยงสั้นค่อนข้างกลม สีชมพูแกมเขียว กลีบปากขนาดใหญ่มีจุดประสีแดงแกมชมพู ส่วนปลายแยกออกเป็น 3 พู งวงน้ำหวานเป็นหลอดตรงหรือโค้งลงเล็กน้อย
ที่มาข้อมูล : http://www.siced.go.th/index.php?name=anfe3
ที่มาภาพ : http://www.nanagarden.com/Picture/Relax/100879.jpg
- เอื้องศรีประจิม
- Author: nantawan
-
Description: ชื่อสามัญ : เอื้องศรีประจิม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sirindhornia mirabilis H.A. Pedersen& P.Suksathan
วงศ์ : ORCHIDACEAE
ค้นพบ : โดยคณะนักพฤกษศาสตร์ของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เป็นไม้สกุลใหม่ของโลก มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูง พบบนพื้นดินตื้นๆ บริเวณภูเขาหินปูน เฉพาะที่ดอยหัวหมุด จ. ตาก ที่ระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตร
ลักษณะ : กล้วยไม้ดินสูงราว 15 – 45 ซม. ใบรูปไข่ปลายแหลมมีเส้นใบและมีจุดประสีแดงอมม่วงเข้ม ช่อดอกสูงกว่า 30 ซม. ในช่อดอกไม่แน่นนักมีตั้งแต่ 10 – 50 ดอก สีของดอกออกชมพูกลีบดอกและกลีบเลี้ยงด้านนอกสีอมเขียว กลีบปากสีชมพูส่วนโคนขยายออกไปเป็นปีก 2 ข้างส่วนกลางคอดกิ่ว ส่วนปลายแผ่หยักเว้าเป็น 2 พู งวงน้ำหวานส่วนโคนเป็นหลอดส่วนปลายงอโค้ง ดอกบานช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
ที่มาข้อมูล : http://jungleman1.multiply.com/photos/album/95/95%3Cbr
ที่มาภาพ : http://i297.photobucket.com/albums/mm218/hasachai/sirindhonia/S-monophylla.jpg
- เอื้องผาหมอก
- Author: nantawan
-
Description: ชื่อสามัญ : เอื้องผาหมอก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Coelogyne xyrekes Ridl.
วงศ์ : EPIDENDROIDEAE
ค้นพบ : ในคาบสมุทรมลายู สุมาตรา และภาคใต้ของไทยแถบ จ.พังงา กระบี่ สตูล และตรัง พบขึ้นตามคบไม้ในป่าดิบเขา
ลักษณะ : เป็นกล้วยไม้อิงอาศัย ลำลูกกล้วยรูปทรงรี เป็นเหลี่ยม แต่ละลำมี 1 ใบ แผ่นใบรูปรี ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกยาว 7-15 ซม. มี 2-4 ดอกในแต่ละช่อ แกนช่อยาวประมาณ 2-5 ซม. ใบประดับยาว กลีบเลี้ยงสีขาว กลีบดอกสีชมพูอ่อนอมน้ำตาล แยกเป็น 3 กลีบ 2 กลีบข้างเป็นคลื่นและเป็นสัน ปลายกลม กลีบกลางรูปไข่หรือเกือบกลม ยาวประมาณ 1.2-1.5 ซม. รวมก้านกลีบสั้นๆ มีแถบตุ่มและเป็นแนวสันตั้งแต่โคนกลีบเกือบจรดปลายกลีบ ปลายกลีบมีปุ่มเล็กๆ แผ่คล้ายรูปจาน เส้าเกสรสีเหลืองซีด ยาว 2.5-4 ซม.
ที่มาข้อมูล : http://web3.dnp.go.th/botany/detail.aspx?words=%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%81&typeword=group
ที่มาภาพ : http://www.212cafe.com/freewebboard/user_board/busaba/picture/00456_0.jpg
- รางจืดต้นภูคา
- Author: nantawan
-
Description: ชื่อสามัญ : รางจืดต้นภูคา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thunbergia colpfera B. Hansen
วงศ์ : THUNBERGIACEAE
ค้นพบ : ตามป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 1,500-1,800 เมตร ที่ดอยภูคา จ.น่าน เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
ลักษณะ : ไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง สูง 1-2 เมตร ผิวเรียบ บริเวณข้อบวมชัดเจน ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปขอบขนานแกมรูปไข่ โคนสอบ ปลายแหลม ก้านใบยาว ดอก สีขาวแกมม่วง ออกเป็นช่อสั้น 2-4 ดอก ตามซอกใบ กลีบรองดอกสีเขียวอมน้ำตาล กลีบโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นประกับ รูปปากแตร ขนาดไม่เท่ากัน เกสรเพศผู้อยู่ในหลอดดอก ผล เป็นผลสด รูปกระสวย รูปกลมผิวเรียบ
ที่มาข้อมูล : http://www.thaibiodiversity.org/Life/LifeDetail.aspx?LifeID=497
ที่มาภาพ : http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/Picture/book4/thun_colp_01.jpg
- ดอกเทียนนกแก้ว
- Author: nantawan
-
Description: ชื่อสามัญ : ดอกเทียนนกแก้ว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Impatiens psittaciana Hook.f.
วงศ์ : BALSAMINACEAE
ค้นพบ : เป็นพันธุ์ไม้หายากชนิดหนึ่ง พบขึ้นตามใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ในป่าดิบเขาหรือบริเวณโขดหินปูนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,500-1,800 เมตร ปัจจุบันมีรายงานการพบเฉพาะบนดอยเชียงดาว จ.เชียงใหม่ เท่านั้น
ลักษณะ : พืชล้มลุก อายุหลายปี สูงได้ถึง 1.5 ม. ใบเป็นใบเดี่ยว รูปไข่กว้าง โคนใบมน ปลายใบแหลมขอบใบจักขนาดกว้าง 2-4 ซม. ยาว 4-6 ซม. ออกดอกเดี่ยวตามก้านใบ และปลายยอดดอกมีรูปร่างคล้ายนกแก้วกำลังกางปีกบินดูสวยงามสะดุดตาขนาดดอก 2-3 ซม. ดอกสีม่วงแกมแดงและขาว หรือสีชมพูเข้มแกมแดงและขาว กลางดอกมีแต้มสีเหลือง ดอกเป็นรูปหลอดกว้าง ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีชมพูอมขาวและมีจุดประสีม่วงแดง กลีบบนรูปขอบขนานมีขนาดยาวที่สุด ปลายกลีบแยกลึกเป็น 2 แฉก กลีบข้าง 2 กลีบแผ่เป็นปีกแคบ กลีบล่างแผ่เป็นปีกกว้าง ปลายกลีบเว้าเป็น 2 พู เกสรตัวผู้มัดรวมกันลักษณะม้วนงอ กลีบรองกลีบดอกเป็นรูปถ้วยปากบาน ส่วนโค้งเป็นถุง มีงวงน้ำหวานขนาดสั้นอยู่ท้ายสุด บริเวณที่ติดกับก้านดอกพองออกเป็นปีกโค้งกลม ๆ 2 ปีก ก้านดอกยาวได้ถึง 6 ซมออกดอกในราวเดือนสิงหาคม - ต้นเดือนธันวาคม
ที่มาข้อมูล : http://www.tourthai.com/gallery/flower/pic17455.shtml
ที่มาภาพ : http://www.tuphoto.net/webboard/attachment.php?attachmentid=1008&stc=1&d=1135107609
- จำปีเพชรลายแดง
- Author: nantawan
-
Description: ชื่อสามัญ : จำปีเพชรลายแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Magnolia mediocris (Dandy) Figlar
วงศ์ : FAMILY MAGNOLIACEAE
ค้นพบ : โดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น พบครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 บริเวณสันเขาใกล้แนวชายแดนไทย-พม่า จ.เพชรบุรี เป็นจำปีพื้นเมืองของไทย
ลักษณะ : เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง25-40 เมตร โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์ กลางใหญ่ถึง 2.50 เมตร เปลือกลำต้นหนาสีน้ำตาลและมีกลิ่นฉุน ใบเดี่ยวรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 3.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 8-14 เซนติเมตร มีก้านใบยาวมาก คือยาว 2-3.5 เซนติเมตร ที่ก้านใบไม่มีรอยแผลของหูใบ ออกดอกเดี่ยว ที่ซอกใบใกล้ปลายยอด เป็นดอกขนาดใหญ่และสวยงาม มีกาบหุ้มดอก 1 แผ่น และที่กาบหุ้มดอกมีขนสีเหลืองทองปกคลุมหนาแน่น กลีบดอกสีขาว จำนวน 9-10 กลีบ แต่ละกลีบยาว 3.5 เซนติเมตร ดอกเริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมในเวลาพลบค่ำแล้วบานในวันรุ่งขึ้น ในช่วงเวลากลางวันที่มีแสงแดดรุนแรง จะส่งกลิ่นหอมได้น้อยลง แล้วกลีบดอกแต่ละกลีบจะร่วงในวันถัดมา มีผลกลุ่มเป็นช่อยาว 2-3.5 เซนติเมตร มีผลย่อย 3-6 ผล แต่ละผลมี 1-3 เมล็ด เมื่อผลแก่แล้วผลย่อยจะแตกออกเป็นแนวเดียว มีเมล็ดแก่สีแดงเข้ม
ที่มาข้อมูล : จดหมายข่าว วว. ปีที่ 14 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2554 หน้า 5.
ที่มาภาพ : http://pics.manager.co.th/Images/554000006140601.JPEG
- จำปีเพชรขาว
- Author: nantawan
-
Description: ชื่อสามัญ : จำปีเพชรขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Magnolia mediocris (Dandy) Figlar
วงศ์ : FAMILY MAGNOLIACEAE
ค้นพบ : โดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น พบเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 บริเวณพื้นที่ป่าภาคตะวันออกเฉียงใต้ ในเขต จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นต้นขนาดใหญ่ สูงราว 40 เมตร ไม่พบต้นกล้า จึงเก็บผลแก่มาเพาะเมล็ด ปรากฏว่า เมล็ดไม่งอก จึงใช้วิธีนำปลายยอดมาทดลองเสียบกิ่ง และทาบกิ่งกับต้นตอจำปา จนประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์นอกถิ่นกำเนิดเป็นครั้งแรก ทำให้สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ราบภาคกลางเป็นจำปีพื้นเมืองของไทย
ลักษณะ : จำปีเพชร เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 25-40 เมตร โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์ กลางได้ใหญ่ถึง 2.50 เมตร เปลือกลำต้นหนาสีน้ำตาลและมีกลิ่นฉุน ใบเดี่ยวรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 3.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 8-14 เซนติเมตร มีก้านใบยาวมาก คือยาว 2-3.5 เซนติเมตร ที่ก้านใบไม่มีรอยแผลของหูใบ ออกดอกเดี่ยวที่ซอกใบใกล้ปลายยอด เป็นดอกขนาดใหญ่และสวยงาม มีกาบหุ้มดอก 1 แผ่น และที่กาบหุ้มดอกมีขนสีเหลืองทองปกคลุมหนาแน่น กลีบดอกสีขาว จำนวน 9-10 กลีบ แต่ละกลีบยาว 3.5 เซนติเมตร ดอกเริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมในเวลาพลบค่ำแล้วบานในวันรุ่งขึ้น ในช่วงเวลากลางวันที่มีแสงแดดรุนแรง จะส่งกลิ่นหอมได้น้อยลง แล้วกลีบดอกแต่ละกลีบจะร่วงในวันถัดมา มีผลกลุ่มเป็นช่อยาว 2-3.5 เซนติเมตร มีผลย่อย 3-6 ผล แต่ละผลมี 1-3 เมล็ด เมื่อผลแก่แล้วผลย่อยจะแตกออกเป็นแนวเดียว มีเมล็ดแก่สีแดงเข้ม มีดอกที่แตกต่างกันเป็น 2 แบบ คือ จำปีเพชร หากมีกลีบดอกสีขาวล้วน เรียกว่า จำปีเพชรขาว หากมีกลีบดอกลายแดง เรียกว่า จำปีเพชรลายแดง เป็นต้นที่มีดอกดก กลิ่นหอมแรง ปกติจะออกดอกในเดือนกันยายนถึงมกราคม (แต่บางปีสภาพอากาศอาจจะเปลี่ยน)
ที่มาข้อมูล : จดหมายข่าว วว. ปีที่ 14 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2554 หน้า 5.
ที่มาภาพ : http://pics.manager.co.th/Images/554000006140602.JPEG
- สิงโตพัดเหลือง
- Author: nantawan
-
Description: ชื่อสามัญ : สิงโตพัดเหลือง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cirrhopetalum skeateanum (Ridl.) Garay
วงศ์ : ORCHIDACEAE
ค้นพบ : พบในแถบป่าดิบเขาทางภาคใต้ บริเวณผืนป่าเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช
ลักษณะ : โดยทั่วไปของดอกเป็นหัวรูปหยดน้ำ ขนาด 1 – 1.5 x 0.7 ซม. เรียงตัวบนเหง้า ห่างกันประมาณ 1 ซม. ใบเป็นรูปแถบ ขนาดของใบ 5 – 6 x 0.8 ซม. แผ่นใบค่อนข้างบางและอ่อน ปลายมน ช่อดอกเกิดจากโคนหัว ก้านช่อผอม ยาวประมาณ 10 ซม. ดอกเกิดที่ปลายสุดของช่อ จำนวนประมาณ 10 ดอก เรียงตัวแผ่ในแนวรัศมีเกือบเป็นครึ่งวงกลม ดอกบานในช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ เป็นตัวบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าดิบเขาได้เป็นอย่างดี
ที่มาข้อมูล : http://khaoluang.igetweb.com/index.php?mo=5&qid=173683
ที่มาภาพ : http://www.bloggang.com/data/linglay/picture/1126790982.jpg